ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้ออกแนวเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัว ที่เขียนไว้ให้ตัวเองได้จดจำ เป็นบทเรียนของชีวิตมากกว่า จะ
เป็น 10 เรื่องที่เรียนรู้หลังจากตกงานครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ
หนึ่งในการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของหลายๆ คงหนีไม่พ้นการตัดสิน ลาออกจากงานที่รักยิ่ง หรือว่ากันอย่างเป็นทางการก็คือการตัดสินใจเปลี่ยนงานซึ่งในการตัดสินใจนั้นมีความเสี่ยหลายๆ ทางและ ปัจจัยหลายๆ อย่างทั้ง เจ้านาย ลูกน้อง สภาพแวดล้อม การเดินทาง วัฒนธรรมการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร บลาๆๆ จากความเสี่ยงและปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะไม่กล้าที่จะเดินออกมาจากสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวที่มีความคุ้นเคย คุ้นชิน แบบของเคยๆ ครับ
ถ้าพูดถึงการเปลี่ยนงานว่ายากแล้ว แต่คงไม่ยากเท่ากับ การตัดสินใจออกจากงานโดยที่ยังไม่ได้งานใหม่ หรือที่เรียกแบบเข้าใจง่ายๆ นั่นก็คือ "การตกงานโดยสมัครใจ"
นั่นแหละที่ผมกำลังจะพูดถึงนั่นคือ บทเรียนจากตัวผมเองที่ตัดสินใจ ตกงานโดยสมัครใจ ซึ่งขออนุญาตไม่พูดถึงเหตุผลในที่ทำงาน ว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้ แต่เชื่อเหอะครับว่าหลายๆ คนเข้าใจ 555 ว่าคนที่ตัดสินใจแบบนี้เหตุผลส่วนใหญ่มาจากอะไร แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ Inbox มาถามได้ยินดีแบ่งประสบการณ์ครับ
เกร่นมาเยอะแล้ว เข้าเรื่องดีกว่าครับ ระยะเวลาที่ผม ตกงานโดยสมัครใจ นั้นมีระยะเวลาสั้นๆ รวมกันก็ประมาณเกือบ 2 เดือนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั่นดันไปเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีแต่ข่าว ลดกำลังพนักงาน เลิกจ้างพนักงาน กันแบบรายวันส่งมาขู่กันแบบไม่มีเยื่อใย (
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156840540985489&id=110325275488) บวกกับโลกแห่งเทคโนโลยี ในปัจจุบันที่การทำงานหลายๆ อย่างถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร หุ่นยนตร์ และระบบกลไกต่างๆ
แต่ด้วยความมั่นใจในตัวเอง (แบบมากเกินไป) แล้วนั้นข่าวแบบนี้ทำอะไรผมไม่ได้ครับ อาจจะเนื่องด้วยตัวผมทำงาน HR ใช่ครับ ที่เรียกทั่วๆ ไปว่า ฝ่ายบุคคล หรือที่บ้างองค์กรเรียกว่า ทรัพยากรบุคคล หรือ ทรัพยากรมนุษย์นั่นแหละครับ อันเดียวกันหมด ผมจึงมีโอกาศได้เห็นการเข้า - ออก ของคนทำงานเป็นเรื่องปกติ และอีกมุมก็คือ ทำงานมา 8 ปีไม่เคยเห็นว่าจะมีช่วงไหนในการทำงานที่บริษัทฯ จะไม่ต้องสรรหาคน
จึงเกิดตรรกะส่วนตัวขึ้นว่า งานมีตลอด มีเยอะ มีแยะ มีมาก มีมาย และคนหางานก็เช่นกัน มีตลอด มีเยอะ มีแยะ มีมาก มีมาย เหมือนกัน แต่การหาของ 2 สิ่งนั้นแค่ยังไม่ได้บรรจบกันก็แค่นั้น
ในบางครั้งคนที่ เกรดเฉลี่ย ดีที่สุด เก่งที่สุด ฉลาดที่สุด ทำงานดีที่สุด อาจจะไม่ได้เป็นคนที่ได้งานก่อนเสมอไป เพราะการตัดสินใจรับคนเข้าทำงานของบริษัทฯ แต่ละที่หรือองค์กรส่วนใหญ่รับ จากความเหมาะสม หรือความใช่ ของตำแหน่งงานเป็นหลัก เช่นตำแหน่งนี้อาจไม่ต้องการคนที่เก่งขนาดนี้ ตำแหน่งนี้อาจไม่ต้องการเด็กเกียรตินิยม แต่ต้องการเพียงแค่คนที่ทำงานได้ เท่านั้น เพราะฉนั้นการได้งานหรือไม่ได้งานอาจไม่ได้อยู่ที่ความเก่ง ฉลาด หรือเรียนเก่งแต่อย่างไร (นี่ไม่นับเรื่องดวงนะครับ ที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้บ้างจังหวะของชีวิตนั้นหายังไงก็ไม่ได้ ไม่โดนสักที) ดังนั้นที่ผมจะบอกก็คือ เค้าเลือกเรา เราเลือกเค้า, งานมีตลอด คนหางานทุกวัน งานก็หาคนทุกวันจริงๆ ครับ
ในระยะเวลาที่ ไม่ต้องตื่นเช้าไปเผชิญการจารจรที่แสนโหดร้านในเมืองหลวงของไทย ไม่ต้องแย่งกันต่อแถวกินข้าวในเมืองที่มีอุณหภูมิร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ไม่ต้องรอคอยวันศุกร์อย่างใจจด ใจจ่อ ไม่ต้องตั้งตารอวันจันทร์แบบกระวนกระวาย (ข้อหลังไม่เป็นความจริงนะครับ 5555) ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเวลาเหล่านี้ จึงอยากมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน โดยแบ่งเป็นข้อได้ทั้งหมด 12 ข้อ 1 โหลพอดี
ข้อ 1. สิ่งต่างไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป
ใช่ครับทุกสิ่งอย่างรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ ลาภ ยศตำแหน่ง หรือแม้กระทั้งสิ่งของต่างๆ ล้วนไม่มีอะไรที่อยู่กับเราตลอดไป ดังที่ศาสนาพุทธบอกไว้ ว่า "อนิจจัง" ที่หมายความว่า ไม่แน่นอน
ที่ยกข้อนี้มาเป็นข้อแรก คือจะบอกว่าเราต้องทำใจก่อนครับ วันที่เราตัดสินใจออกมาแล้ว ไม่ว่าเราจะตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน อายุงานมากมายเท่าไร คนลาออกมาแล้วก็คือคนนอก ครับ คำพูดที่บอกว่า เจอบรรได ขึ้นได้ ต้องลงเป็น เป็นคำพูดที่จริงมากครับ เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าเราคือคนนอกแล้ว ถอดหัวโขนออกแล้วครับ
ข้อ 2. ในทุกๆ วันเราต้องใช้เงิน
เคยมีคนบอกไว้ว่า เงินไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ซึ่งผมไม่เถียงเลยครับ แต่ผมจะบอกว่าหลายๆ อย่างในชีวิตต้องใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน ในทุกๆ สิ้นเดือนมีรายจ่ายเข้ามาตลอด แต่รายได้ละครับ ถ้าเราไม่มีงาน หรือรายได้จากช่องทางอื่นๆ ละก็ หึๆๆๆ
ข้อ 3. มีเวลาคิดมาก มากเกินจนสามารถทำให้ฟุ้งซ่านได้
การที่เราตื่นมาแล้วไม่ต้องคิดเรื่องงานเป็น อะไรที่ดีมากครับ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคิดแบบนี้เพราะผมก็คิดแบบนี้เช่นกัน แต่ถ้าเป็นแบบนี้ 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วันผมว่ายัง OK นะ แต่ถ้าเป็นแบบนี้สัก 10 วัน หรือ 1 เดือนละ เราจะเอาเวลา 24 ชั่วโมง ต่อวันไปทำอะไร คิดเรื่องอะไร ดังคำที่เคยได้ยินว่า อยู่กับตัวเองระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังคําพูด ใช่ครับอยู่กับตัวเองนานๆ อาจฟุ้งซ่าน ได้จริงๆ
ข้อ 4. ตั้ง Shot plan ในทุกๆ วัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน
จริงๆ ข้อนี้คือต่อเนื่องจากข้อที่แล้วเลยครับ ถ้าเราไม่วางแผนการใช้ชีวิตหรือ การหางานของเราในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือนแล้วละก็ ชีวิตคุณได้ไหลลงทะเลแน่ครับ ข้อนี้สำคัญมากจริงๆ เชื่อเหอะครับ ผมลองมาแล้ว แนะนำว่าชีวิตต้องมีแผนครับ จะทำได้ตามแผนหรือไม่เป็นอีกเรื่อง หนึ่งแต่ยืนยันว่ายังไงแต่ละวันของชีวิตก็ต้องมีแผน
ข้อ 5. มีเวลาดูแลตัวเอง ได้ออกกำลังกายมากขึ้น แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้น
ข้อนี้เหมือนเอาตัวเองมาเผาเล่นครับ ด้วยความคิดที่ว่าเรามีเวลามากขึ้น จะได้ให้เวลาเพื่อการดูแลตัวเองมากขึ้น ได้ใช้เวลาในการออกกำลังกายมากขึ้น เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดคือความฝันครับ เอาเข้าจริงๆ คือตรงกันข้ามครับ ออกกำลังกายน้อยกว่าตอนทำงาน กินอะไรเรื่อยเปื่อย สรุปคือ 2 เดือนขึ้นมา 2 โลครับ ^_^ ตอนนี้ก็ใกล้เข้าโครงการ #อายุน้อยร้อยโล
ข้อ 6. ช่องทางการหางาน ไม่ได้มีแค่ ช่องทางเดียว
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดแบบทุกวี่ ทุกวัน การหางานคงไม่ต้องพึ่งหนังสือพิมพ์หางาน กันแล้ว ซึ่งในปัจจุบันสิ่งที่เราใช้ในการหางานคือเว็ปหางานไม่ว่าจะเป็น JobThai, JobTH, JobTopgun, JobDB ใช่ครับนี้คือส่วนหนึ่งเท่านั้น จริงๆ แล้วยังมีอีกเพียบทั้ง Line jobs, Facebook, Linkin หรือว่าจะเป็น Agency ที่สมัยนี้เข้าไม่ได้จ้าง Agency ในการหาเพียงแค่ผู้บริหารที่เงินเดือนหลักแสนกันแล้ว เงินเดือนหลัก หมื่นหลายๆ ที่ก็เริ่มใช้ Agency กันแล้ว
7. รู้จักรักษาเวลา ให้เกียรติ ผู้สัมภาษณ์
ระยะเวลาในการว่างงาน 2 เดือนของผมมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งาน 5 บริษัทฯ และกับ 3 Agency สิ่งที่ผมรู้สึกอย่าง และเป็นสิ่งสำคัญคือการให้เกียรติ กัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะของผู้สัมภาษณ์ หรือผู้สมัคร หนึ่งนั่นคือ การตรงต่อเวลา เราในฐานะผู้สมัครถ้าไปช้าต้องโทรแจ้ง หรือเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วก็ต้องโทรบอก ส่วนผู้สัมภาษณ์ก็เช่นกันครับควรให้เกียรติผู้สมัครเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะใหญ่ในตำแหน่งเพียงใด คุณต้องอย่าลือมว่าคนที่คุณกำลังสัมภาษณ์คือ ไม่ได้มาขอเงินจากคุณฟรีๆ ทุกๆ คนล้วนนำความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และความสามารถของตัวเองมาแลกกับเงินเดือนครับ ดังนั้นอย่าปล่อยให้เขารอนาน เขามาตามนัดเราก็ควรจะสัมภาษณ์เค้าตามนัดด้วยเช่นกัน และให้เกียรติ เขาด้วยเพราะภาพของการสัมภาษณ์งานจะเป็นการตีตรากับบริษัทฯ หรือองค์กรของคุณไปอีกนานแสนนาน และต้องไม่ลืมว่าองค์กรเลือกคน คนก็สามารถเลือกองค์กรเช่นกันครับ
8. ทำงานราชการเพื่อเข้าโรงพยาบาลฟรี อ่อมันเป็นแบบนี้
ในระหว่างช่วงที่ผมยังว่างงานได้มีโอกาสไปโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ทำให้ได้เรียนรู้อีหนึ่งสิ่งคือที่ผู้ใหญ่บ้างคนบอกว่าให้ลูกให้หลานทำงานราชการเพื่อที่พ่อแม่ จะได้สวัสดิการรักษาพยาบาลฟรี แต่ๆๆๆ แต่เด่วก่อนครับ สิทธิรักษาพยาบาลฟรีอะเรื่องจริง แต่การบริการต้องเข้าใจ และทำใจนะครับ ว่าการบริการต้องใช้เวลาและ มีขั้นตอนที่มากมายกว่าโรงพยาบาลเอกชนหลายเท่าตัวกันเลยทีเดียว
9. เราไม่สามารถใช้เงินวันละ 100 บาทได้ทุกวัน
ก่อนที่ผมตัดสินใจจะออกจากงานได้ คำนวณเรื่องเงินเอาไว้ว่าเงินเก็บที่มี นั้นเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทุกรายการ โดยสามารถอยู่ได้โดยไม่มีงาน 3 เดือน ซึ่งการวางแผนนั้นผมว่างไว้แบบโง่ๆ ว่าจะใช้เงินเพียงวันละ 100 บาท ซึ่งบอกเลยว่าเอาจริงๆ ทำไม่ได้ครับ 5555 ความเป็นจริงถ้าออกจากบ้านทุกวันเราทำไม่ได้หรอกครับ 100 บาทต่อวัน ที่ทำได้ก็คือ ออกจากบ้านบ้าง ไม่ออกจากบ้านบ้างเฉลี่ยกันไป มาถึงตอนนี้ก็ถือว่าใกล้เคียงอยู่ครับ
10. คำว่าครอบครัว โคตรสำคัญ กลับบ้าน
ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดในทั้งหมด 10 ข้อเลยครับ คือจะบอกว่าการที่ผมตัดสินใจที่จจะออกจากงาน โดยที่ยังไม่ได้งานนั้น ส่วนหนึ่ง หรือส่วนใหญ่ของผมมาจากเหตุผลที่ครอบครัว ครับ
ครอบครัวของผม มีพ่อ แม่ และแฟนที่น่ารัก ทุกคนล้วนเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือกับตัวผม ที่สำคัญคือเชื่อมั่นในตัวผม ว่าเราจะหางานใหม่ได้ ภายในระยะเวลาของเงินเก็บที่มี และที่สำคัญคือพร้อมจะยอมรับความเสี่ยงจากการกระทำของตัวเองที่มีผลกระทบกันทั้งครอบครัว ผมจึงได้ตัดสินใจแบบนี้ออกมา
ขอแอบเดาครับ ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนแล้วคิดว่าคงที่ทำแบบนี้ได้คงมีอยู่ไม่ถึง 10-15% ของคนในสังคมไทยบ้านเราหรอกมั่ง ถ้ามีเพื่อนๆ พี่ๆ หรือน้องๆ คนไหน เจอสถานการณ์แบบเดียวกับผม และตัดสินใจแบบเดียวกับผม หรือตัดสินใจแตกต่างกันออกไปอย่างไรไงก็ แชร์ให้กันฟังบ้างนะครับ จะได้รู้ว่าผม เป็นคนส่วนน้อยในสังคม หรือคนทั่วๆ ไปเค้าก็ทำกันแบบนี้ 555
ตอนนี้ผมได้งานทำแล้วนะครับ เริ่มงานไปได้ 2 วันแล้ว ยังไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองว่าจะได้รับการประเมินจากเจ้านายให้ผ่านทดรองงานหรือเปล่า ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ 555
สุดท้ายนี้ก็จะบอกว่า เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังหางาน หรือกำลังทนทำงานอยู่ แต่อย่างไรก็ตามให้นึกไว้ว่าไม่ว่างาน หนักหนาสาหัส สักเพียงใดก็ตาม ย่อมดีกว่าการว่างงานแบบไม่มีจุดหมายครับ ...............
สู้ๆ นะครับ
10 เรื่องที่เรียนรู้หลังจากตกงาน
หนึ่งในการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของหลายๆ คงหนีไม่พ้นการตัดสิน ลาออกจากงานที่รักยิ่ง หรือว่ากันอย่างเป็นทางการก็คือการตัดสินใจเปลี่ยนงานซึ่งในการตัดสินใจนั้นมีความเสี่ยหลายๆ ทางและ ปัจจัยหลายๆ อย่างทั้ง เจ้านาย ลูกน้อง สภาพแวดล้อม การเดินทาง วัฒนธรรมการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร บลาๆๆ จากความเสี่ยงและปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะไม่กล้าที่จะเดินออกมาจากสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวที่มีความคุ้นเคย คุ้นชิน แบบของเคยๆ ครับ
ถ้าพูดถึงการเปลี่ยนงานว่ายากแล้ว แต่คงไม่ยากเท่ากับ การตัดสินใจออกจากงานโดยที่ยังไม่ได้งานใหม่ หรือที่เรียกแบบเข้าใจง่ายๆ นั่นก็คือ "การตกงานโดยสมัครใจ"
นั่นแหละที่ผมกำลังจะพูดถึงนั่นคือ บทเรียนจากตัวผมเองที่ตัดสินใจ ตกงานโดยสมัครใจ ซึ่งขออนุญาตไม่พูดถึงเหตุผลในที่ทำงาน ว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้ แต่เชื่อเหอะครับว่าหลายๆ คนเข้าใจ 555 ว่าคนที่ตัดสินใจแบบนี้เหตุผลส่วนใหญ่มาจากอะไร แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ Inbox มาถามได้ยินดีแบ่งประสบการณ์ครับ
เกร่นมาเยอะแล้ว เข้าเรื่องดีกว่าครับ ระยะเวลาที่ผม ตกงานโดยสมัครใจ นั้นมีระยะเวลาสั้นๆ รวมกันก็ประมาณเกือบ 2 เดือนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั่นดันไปเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีแต่ข่าว ลดกำลังพนักงาน เลิกจ้างพนักงาน กันแบบรายวันส่งมาขู่กันแบบไม่มีเยื่อใย ( https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156840540985489&id=110325275488) บวกกับโลกแห่งเทคโนโลยี ในปัจจุบันที่การทำงานหลายๆ อย่างถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร หุ่นยนตร์ และระบบกลไกต่างๆ
แต่ด้วยความมั่นใจในตัวเอง (แบบมากเกินไป) แล้วนั้นข่าวแบบนี้ทำอะไรผมไม่ได้ครับ อาจจะเนื่องด้วยตัวผมทำงาน HR ใช่ครับ ที่เรียกทั่วๆ ไปว่า ฝ่ายบุคคล หรือที่บ้างองค์กรเรียกว่า ทรัพยากรบุคคล หรือ ทรัพยากรมนุษย์นั่นแหละครับ อันเดียวกันหมด ผมจึงมีโอกาศได้เห็นการเข้า - ออก ของคนทำงานเป็นเรื่องปกติ และอีกมุมก็คือ ทำงานมา 8 ปีไม่เคยเห็นว่าจะมีช่วงไหนในการทำงานที่บริษัทฯ จะไม่ต้องสรรหาคน
จึงเกิดตรรกะส่วนตัวขึ้นว่า งานมีตลอด มีเยอะ มีแยะ มีมาก มีมาย และคนหางานก็เช่นกัน มีตลอด มีเยอะ มีแยะ มีมาก มีมาย เหมือนกัน แต่การหาของ 2 สิ่งนั้นแค่ยังไม่ได้บรรจบกันก็แค่นั้น
ในบางครั้งคนที่ เกรดเฉลี่ย ดีที่สุด เก่งที่สุด ฉลาดที่สุด ทำงานดีที่สุด อาจจะไม่ได้เป็นคนที่ได้งานก่อนเสมอไป เพราะการตัดสินใจรับคนเข้าทำงานของบริษัทฯ แต่ละที่หรือองค์กรส่วนใหญ่รับ จากความเหมาะสม หรือความใช่ ของตำแหน่งงานเป็นหลัก เช่นตำแหน่งนี้อาจไม่ต้องการคนที่เก่งขนาดนี้ ตำแหน่งนี้อาจไม่ต้องการเด็กเกียรตินิยม แต่ต้องการเพียงแค่คนที่ทำงานได้ เท่านั้น เพราะฉนั้นการได้งานหรือไม่ได้งานอาจไม่ได้อยู่ที่ความเก่ง ฉลาด หรือเรียนเก่งแต่อย่างไร (นี่ไม่นับเรื่องดวงนะครับ ที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้บ้างจังหวะของชีวิตนั้นหายังไงก็ไม่ได้ ไม่โดนสักที) ดังนั้นที่ผมจะบอกก็คือ เค้าเลือกเรา เราเลือกเค้า, งานมีตลอด คนหางานทุกวัน งานก็หาคนทุกวันจริงๆ ครับ
ในระยะเวลาที่ ไม่ต้องตื่นเช้าไปเผชิญการจารจรที่แสนโหดร้านในเมืองหลวงของไทย ไม่ต้องแย่งกันต่อแถวกินข้าวในเมืองที่มีอุณหภูมิร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ไม่ต้องรอคอยวันศุกร์อย่างใจจด ใจจ่อ ไม่ต้องตั้งตารอวันจันทร์แบบกระวนกระวาย (ข้อหลังไม่เป็นความจริงนะครับ 5555) ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเวลาเหล่านี้ จึงอยากมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน โดยแบ่งเป็นข้อได้ทั้งหมด 12 ข้อ 1 โหลพอดี
ข้อ 1. สิ่งต่างไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป
ใช่ครับทุกสิ่งอย่างรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ ลาภ ยศตำแหน่ง หรือแม้กระทั้งสิ่งของต่างๆ ล้วนไม่มีอะไรที่อยู่กับเราตลอดไป ดังที่ศาสนาพุทธบอกไว้ ว่า "อนิจจัง" ที่หมายความว่า ไม่แน่นอน
ที่ยกข้อนี้มาเป็นข้อแรก คือจะบอกว่าเราต้องทำใจก่อนครับ วันที่เราตัดสินใจออกมาแล้ว ไม่ว่าเราจะตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน อายุงานมากมายเท่าไร คนลาออกมาแล้วก็คือคนนอก ครับ คำพูดที่บอกว่า เจอบรรได ขึ้นได้ ต้องลงเป็น เป็นคำพูดที่จริงมากครับ เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าเราคือคนนอกแล้ว ถอดหัวโขนออกแล้วครับ
ข้อ 2. ในทุกๆ วันเราต้องใช้เงิน
เคยมีคนบอกไว้ว่า เงินไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ซึ่งผมไม่เถียงเลยครับ แต่ผมจะบอกว่าหลายๆ อย่างในชีวิตต้องใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน ในทุกๆ สิ้นเดือนมีรายจ่ายเข้ามาตลอด แต่รายได้ละครับ ถ้าเราไม่มีงาน หรือรายได้จากช่องทางอื่นๆ ละก็ หึๆๆๆ
ข้อ 3. มีเวลาคิดมาก มากเกินจนสามารถทำให้ฟุ้งซ่านได้
การที่เราตื่นมาแล้วไม่ต้องคิดเรื่องงานเป็น อะไรที่ดีมากครับ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคิดแบบนี้เพราะผมก็คิดแบบนี้เช่นกัน แต่ถ้าเป็นแบบนี้ 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วันผมว่ายัง OK นะ แต่ถ้าเป็นแบบนี้สัก 10 วัน หรือ 1 เดือนละ เราจะเอาเวลา 24 ชั่วโมง ต่อวันไปทำอะไร คิดเรื่องอะไร ดังคำที่เคยได้ยินว่า อยู่กับตัวเองระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังคําพูด ใช่ครับอยู่กับตัวเองนานๆ อาจฟุ้งซ่าน ได้จริงๆ
ข้อ 4. ตั้ง Shot plan ในทุกๆ วัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน
จริงๆ ข้อนี้คือต่อเนื่องจากข้อที่แล้วเลยครับ ถ้าเราไม่วางแผนการใช้ชีวิตหรือ การหางานของเราในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือนแล้วละก็ ชีวิตคุณได้ไหลลงทะเลแน่ครับ ข้อนี้สำคัญมากจริงๆ เชื่อเหอะครับ ผมลองมาแล้ว แนะนำว่าชีวิตต้องมีแผนครับ จะทำได้ตามแผนหรือไม่เป็นอีกเรื่อง หนึ่งแต่ยืนยันว่ายังไงแต่ละวันของชีวิตก็ต้องมีแผน
ข้อ 5. มีเวลาดูแลตัวเอง ได้ออกกำลังกายมากขึ้น แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้น
ข้อนี้เหมือนเอาตัวเองมาเผาเล่นครับ ด้วยความคิดที่ว่าเรามีเวลามากขึ้น จะได้ให้เวลาเพื่อการดูแลตัวเองมากขึ้น ได้ใช้เวลาในการออกกำลังกายมากขึ้น เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดคือความฝันครับ เอาเข้าจริงๆ คือตรงกันข้ามครับ ออกกำลังกายน้อยกว่าตอนทำงาน กินอะไรเรื่อยเปื่อย สรุปคือ 2 เดือนขึ้นมา 2 โลครับ ^_^ ตอนนี้ก็ใกล้เข้าโครงการ #อายุน้อยร้อยโล
ข้อ 6. ช่องทางการหางาน ไม่ได้มีแค่ ช่องทางเดียว
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดแบบทุกวี่ ทุกวัน การหางานคงไม่ต้องพึ่งหนังสือพิมพ์หางาน กันแล้ว ซึ่งในปัจจุบันสิ่งที่เราใช้ในการหางานคือเว็ปหางานไม่ว่าจะเป็น JobThai, JobTH, JobTopgun, JobDB ใช่ครับนี้คือส่วนหนึ่งเท่านั้น จริงๆ แล้วยังมีอีกเพียบทั้ง Line jobs, Facebook, Linkin หรือว่าจะเป็น Agency ที่สมัยนี้เข้าไม่ได้จ้าง Agency ในการหาเพียงแค่ผู้บริหารที่เงินเดือนหลักแสนกันแล้ว เงินเดือนหลัก หมื่นหลายๆ ที่ก็เริ่มใช้ Agency กันแล้ว
7. รู้จักรักษาเวลา ให้เกียรติ ผู้สัมภาษณ์
ระยะเวลาในการว่างงาน 2 เดือนของผมมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งาน 5 บริษัทฯ และกับ 3 Agency สิ่งที่ผมรู้สึกอย่าง และเป็นสิ่งสำคัญคือการให้เกียรติ กัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะของผู้สัมภาษณ์ หรือผู้สมัคร หนึ่งนั่นคือ การตรงต่อเวลา เราในฐานะผู้สมัครถ้าไปช้าต้องโทรแจ้ง หรือเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วก็ต้องโทรบอก ส่วนผู้สัมภาษณ์ก็เช่นกันครับควรให้เกียรติผู้สมัครเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะใหญ่ในตำแหน่งเพียงใด คุณต้องอย่าลือมว่าคนที่คุณกำลังสัมภาษณ์คือ ไม่ได้มาขอเงินจากคุณฟรีๆ ทุกๆ คนล้วนนำความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และความสามารถของตัวเองมาแลกกับเงินเดือนครับ ดังนั้นอย่าปล่อยให้เขารอนาน เขามาตามนัดเราก็ควรจะสัมภาษณ์เค้าตามนัดด้วยเช่นกัน และให้เกียรติ เขาด้วยเพราะภาพของการสัมภาษณ์งานจะเป็นการตีตรากับบริษัทฯ หรือองค์กรของคุณไปอีกนานแสนนาน และต้องไม่ลืมว่าองค์กรเลือกคน คนก็สามารถเลือกองค์กรเช่นกันครับ
8. ทำงานราชการเพื่อเข้าโรงพยาบาลฟรี อ่อมันเป็นแบบนี้
ในระหว่างช่วงที่ผมยังว่างงานได้มีโอกาสไปโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ทำให้ได้เรียนรู้อีหนึ่งสิ่งคือที่ผู้ใหญ่บ้างคนบอกว่าให้ลูกให้หลานทำงานราชการเพื่อที่พ่อแม่ จะได้สวัสดิการรักษาพยาบาลฟรี แต่ๆๆๆ แต่เด่วก่อนครับ สิทธิรักษาพยาบาลฟรีอะเรื่องจริง แต่การบริการต้องเข้าใจ และทำใจนะครับ ว่าการบริการต้องใช้เวลาและ มีขั้นตอนที่มากมายกว่าโรงพยาบาลเอกชนหลายเท่าตัวกันเลยทีเดียว
9. เราไม่สามารถใช้เงินวันละ 100 บาทได้ทุกวัน
ก่อนที่ผมตัดสินใจจะออกจากงานได้ คำนวณเรื่องเงินเอาไว้ว่าเงินเก็บที่มี นั้นเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทุกรายการ โดยสามารถอยู่ได้โดยไม่มีงาน 3 เดือน ซึ่งการวางแผนนั้นผมว่างไว้แบบโง่ๆ ว่าจะใช้เงินเพียงวันละ 100 บาท ซึ่งบอกเลยว่าเอาจริงๆ ทำไม่ได้ครับ 5555 ความเป็นจริงถ้าออกจากบ้านทุกวันเราทำไม่ได้หรอกครับ 100 บาทต่อวัน ที่ทำได้ก็คือ ออกจากบ้านบ้าง ไม่ออกจากบ้านบ้างเฉลี่ยกันไป มาถึงตอนนี้ก็ถือว่าใกล้เคียงอยู่ครับ
10. คำว่าครอบครัว โคตรสำคัญ กลับบ้าน
ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดในทั้งหมด 10 ข้อเลยครับ คือจะบอกว่าการที่ผมตัดสินใจที่จจะออกจากงาน โดยที่ยังไม่ได้งานนั้น ส่วนหนึ่ง หรือส่วนใหญ่ของผมมาจากเหตุผลที่ครอบครัว ครับ
ครอบครัวของผม มีพ่อ แม่ และแฟนที่น่ารัก ทุกคนล้วนเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือกับตัวผม ที่สำคัญคือเชื่อมั่นในตัวผม ว่าเราจะหางานใหม่ได้ ภายในระยะเวลาของเงินเก็บที่มี และที่สำคัญคือพร้อมจะยอมรับความเสี่ยงจากการกระทำของตัวเองที่มีผลกระทบกันทั้งครอบครัว ผมจึงได้ตัดสินใจแบบนี้ออกมา
ขอแอบเดาครับ ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนแล้วคิดว่าคงที่ทำแบบนี้ได้คงมีอยู่ไม่ถึง 10-15% ของคนในสังคมไทยบ้านเราหรอกมั่ง ถ้ามีเพื่อนๆ พี่ๆ หรือน้องๆ คนไหน เจอสถานการณ์แบบเดียวกับผม และตัดสินใจแบบเดียวกับผม หรือตัดสินใจแตกต่างกันออกไปอย่างไรไงก็ แชร์ให้กันฟังบ้างนะครับ จะได้รู้ว่าผม เป็นคนส่วนน้อยในสังคม หรือคนทั่วๆ ไปเค้าก็ทำกันแบบนี้ 555
ตอนนี้ผมได้งานทำแล้วนะครับ เริ่มงานไปได้ 2 วันแล้ว ยังไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองว่าจะได้รับการประเมินจากเจ้านายให้ผ่านทดรองงานหรือเปล่า ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ 555
สุดท้ายนี้ก็จะบอกว่า เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังหางาน หรือกำลังทนทำงานอยู่ แต่อย่างไรก็ตามให้นึกไว้ว่าไม่ว่างาน หนักหนาสาหัส สักเพียงใดก็ตาม ย่อมดีกว่าการว่างงานแบบไม่มีจุดหมายครับ ............... สู้ๆ นะครับ